ขอขอบคุณข้อมูลจาก :
http://www.club4g.com/index.php?topic=14650849.0โดยปกติแล้ว แรงดันน้ำมันเชื้อเพลิงจะอยู่ที่ 2.7-2.8 bar ที่รอบเดินเบา (ขณะที่แรงดันในท่อร่วม = vacuum -0.5 bar)
และจะเพิ่มขึ้นตามแรงดันในท่อร่วมไอดี (แรงดันบูสต์เทอร์โบ) โดยเอาค่าแรงดันบูสต์ที่เพิ่มขึ้นจากตอนเดินเบา + แรงดันน้ำมันเชื้อเพลิงที่รอบเดินเบา
ยกตัวอย่างเช่น ที่บูสต์ 1 bar แรงดันน้ำมันเชื้อเพลิง = ( 1bar - (-0.5bar) ) + 2.8bar = 4.3bar
ซึ่งถ้าค่าแรงดันน้ำมันเชื้อเพลิงต่ำจนผิดปกติ อาจส่งผลเสียได้หลายอย่าง เช่น
- กำลังเครื่องยนต์ตก มีอาการวอด เมื่อบูสต์สูง
- อุณหภูมิห้องเผาไหม้สูงกว่าปกติ เกิด knock ได้ง่าย อายุลูกสูบสั้นลง
- ในกรณีที่แรงดันเชื้อเพลิงต่ำมาก อาจทำให้เครื่องยนต์สตาร์ทไม่ติด
แต่ถ้าแรงดันน้ำมันเชื้อเพลิงสูงกว่าปกติ มีผลเสียเช่นกัน
- ปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงทำงานหนักและอุปกรณ์ในระบบรับภาระสูงกว่าปกติ ทำให้อายุสั้นลง
- รถอาจกินน้ำมันมากกว่าปกติ โดยเฉพาะรถที่ยังไม่ได้รับการปรับจูนอย่างเหมาะสม
อุปกรณ์ที่ควรตรวจเช็ค
- ปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิง หรือปั๊มติ๊ก ฟังเสียงการทำงานต้องสม่ำเสมอ ไม่ดังมากจนเกินไป
- ท่อทางเดินน้ำมัน ต้องไม่แตก รั่ว ซึม
- ในถังน้ำมันเชื้อเพลิง ต้องไม่สกปรก หรือมีตะกอนมาก
- กรองน้ำมันเชื้อเพลิง อาจตันได้ ควรเปลี่ยนทุกๆ 40,000 km
- เรกูเลเตอร์ (pressure regulator) กักเก็บและรักษาแรงดันเชื้อเพลิงได้
ซึ่งหากต้องการปรับเปลี่ยนแก้ปัญหาแรงดันร่วงแบบจบๆ แนะนำดังนี้ครับ
- เปลี่ยนท่อนำ้มันไหลกลับ เป็น AN6 หรือ รู 9 mm
- ใช้รีเลย์ขนาด 30 A ของใหม่ ของเดิมเล็กเกินไป
- ขนาดสายไฟที่ใช้เดินใหม่ จากแบต-รีเลย์-ปัั๊มติ๊ก ขนาดทองแดง ไม่ควรตำ่กว่า 3 mm
ไล่กันให้จบ ก่อนปัญหาใหญ่จะเกิดตามมาครับ ^^