หัวข้อ: Nissan Cefiro โฉม A31 (1990-1996) จากซีดานหรูไฮเทค…

[セフィーロ FujinBlue]

-ขอขอบคุณข้อความดีๆจาก
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=831099


Nissan Cefiro โฉม A31 (1990-1996)  จากซีดานหรูไฮเทค…

Nissan Cefiro โฉม A31 (1990-1996)

จากซีดานหรูไฮเทค….สู่เจ้าแห่งสนามควอเตอร์ไมล์(ซะงั้น)!!!???

 

 

            รถยนต์ ก็ถือเป็นนวัตกรรมอย่างหนึ่ง ที่ใช้สื่อถึงความก้าวหน้าของเทคโนโลยีต่างๆ ซึ่งสามารถนำเทคโนโลยีนั้นๆมาใช้งานในชีวิตประจำวันของเราได้จริงๆ และถ้ามีการนำมาพัฒนาต่อยอดได้ขึ้นไปอีก มันก็จะพัฒนาขึ้นต่อไปได้อีกเรื่อยๆ แม้ว่าบางครั้งการพัฒนานั้นอาจจะผิดแปลกไปจากจุดประสงค์ดั้งเดิมที่ตั้งไว้ แต่ผมก็คิดว่านั่นก็ไม่น่าจะใช่เรื่องที่เลวร้ายอะไรมากมาย เผลอๆมันอาจจะเป็นการดีด้วยซ้ำไป ที่การพัฒนาจะเป็นไปได้ในหลายๆทิศทาง ซึ่งในบางครั้งอาจจะนำความประหลาดใจมาให้เราพบเห็นด้วยก็ได้ อย่างเช่น คุณๆอาจจะอุทานออกมาเมื่อได้เห็นที่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปว่า “เฮ้ยยยย!!!! จากรถหรูมากลายเป็นรถแข่งได้ยังไงฟระ???” อะไรทำนองนั้น

           ที่ผมเกริ่นนำมาซะเป็นทางการแบบนี้ เพราะรถยนต์ที่เราจะพูดถึงกันในบทความนี้ นั่นคือ Nissan Cefiro รุ่นแรกที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย หรือที่เรียกกันติดปากในหมู่นักเลงรถว่า โฉม A31 ถือเป็นรถที่ “Hi-Technology” คันหนึ่งในยุคของมันเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะด้วยการออกแบบหรือเทคโนโลยีที่ใส่มากับตัวรถก็ตามแต่ ทว่าในยุคปัจจุบัน เจ้า Cefiro A31 สุดไฮเทคคันนี้ มันกลายเป็นที่นิยมนำมาดัดแปลงเป็นรถแข่งไปเสียแล้ว!!!! ซึ่งผมบอกได้เลยว่าถ้าคุณๆได้มีโอกาสไปสนามแข่งรถที่ธัญบุรีคลอง 5 หรือสนามแข่งรถ Drift ไม่ว่าจะที่ไหนหรือเมื่อไหร่ ร้อยทั้งร้อยคุณๆจะต้องได้พบปะกับเจ้า A31 แทบจะทุกครั้งไป เพราะอะไรจากรถหรูสุดไฮเทคจึงกลายเป็นรถแข่งยอดนิยมของขาซิ่งไปได้??? และรถคันนี้จะไฮเทคล้ำยุคแค่ไหน???

เรามาทรรศนาและค้นหาคำตอบจากบทความนี้กันเลยคร้าบบบ!!!! ^0^

[セフィーロ FujinBlue]

Nissan Cefiro คันนี้เปิดตัวสู่ตลาดรถของประเทศไทยในเดือนมีนาคม ปี ค.ศ.1990 ในสมัยนั้น Nissan ประเทศไทยยังคงอยู่ภายใต้บริหารงานโดย กลุ่มสยามกลการ ภายใต้ชื่อบริษัท สยามนิสสัน ออโต้โมบิลด์ จำกัด จุดประสงค์จริงๆที่ทำให้รถคันนี้ถือกำเนิดขึ้น แท้จริงแล้ว Nissan Motor แห่งประเทศญี่ปุ่น พัฒนาขึ้นเพื่อที่จะทำตลาดภายในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น แต่คณะผู้บริหารของสยามกลการได้มีโอกาสไปยลโฉมของมันที่ญี่ปุ่น แล้วมองเห็นลู่ทางในการทำตลาดในไทยได้ เมื่อเห็นดังนั้น สยามกลการจึงส่งทีมงานไปต่อรองกับฝ่าย Product Planning ของ Nissan Japan อย่างที่เรียกได้ว่า “ถึงพริกถึงขิง” เลยก็ว่าได้ (นึกภาพตามง่ายๆครับ ลองนึกถึงเกมส์งัดข้อไว้ครับ ฝั่งหนึ่งคือทีมงานไทย อีกฝั่งคือทีมProduct Planning ของนิสสันญี่ปุ่น  ได้อารมณ์ประมาณนั้นเลยแหละ อิอิ ^^) เพราะทางญี่ปุ่นดัน“แทงกั๊ก”ให้เครื่องสเป๊กโบราณ แถมจะไม่ให้ออพชั่นติดรถอะไรมาเลย ทางทีมงานไทยก็คงจะไม่ยอมง่ายๆ เล่นเกมส์งัดข้ออย่างหนักจนทางญี่ปุ่นต้องยอม จัดสเป๊กเครื่องยนต์ที่แรงทันสมัยและให้ออพชั่นสุดไฮเทคมา ซึ่งจะได้พูดถึงกันต่อจากนี้ไป และ Cefiro A31 รุ่นที่ผมจะกล่าวถึงในบทความนี้จะเป็นรุ่นปรับโฉมย่อย (Minorchange) ครั้งแรกที่เปิดตัวในปี ค.ศ.1992 ซึ่งจะมีสองรุ่นหลักๆ สองแบบเครื่องยนต์ คุณๆทุกท่านจะได้เห็นภาพกันง่ายๆนะครับ

[セフィーロ FujinBlue]

Nissan Cefiro A31 รุ่นปรับโฉมย่อยครั้งแรกนี้สามารถแบ่งรุ่นย่อยได้ตามขนาดเครื่องยนต์เลย นั่นคือรุ่น 12 วาล์ว และรุ่น 24 วาล์ว มีความยาวตัวถัง 4,710 mm. (ในรุ่น 24 วาล์ว จะสั้นกว่าเล็กน้อยเป็น 4,690 mm.) มีความกว้างตัวถัง 1,695 mm. มีความสูง 1,375 mm. ระยะฐานล้อ 2,670 mm. ความกว้างช่วงล้อในด้านหน้า 1,460 mm. และในด้านหลัง 1,455 mm. ความสูงใต้ท้องรถ 150 mm. น้ำหนักรถโดยเฉลี่ย 1.2-1.3 ตัน และถังน้ำมันมีความจุ 65 ลิตร

[セフィーロ FujinBlue]

   ความหรูหราไฮเทคของรถคันนี้เริ่มตั้งแต่ภายนอกรถ ที่ดีไซน์ได้สวยล้ำสไตล์สปอร์ต และแฝงไว้ด้วยความหรูหรา ของเล่นสุดไฮเทคอย่างแรกและแถมยังเป็นจุดเด่นตั้งแต่แรกเห็น นั่นคือชุดไฟหน้า ที่ใช้เป็นเลนส์แบบ Projector ที่ให้ลำแสงยิงตรงไปข้างหน้าขนานกับพื้นถนน ให้ทัศนะวิสัยที่ดี ไม่เกิดปัญหาการหักเหของแสงด้วยเหตุปัจจัยภายนอกแน่นอน อีกทั้งยังไม่รบกวนสายตากับรถคันอื่นอีกด้วย มิหนำซ้ำ ไฟหน้าชุดนี้ยังให้ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติมาให้อีกด้วย!!!! ไฮเทคและหรูมากๆในสมัยนั้น ของเล่นไฮเทคอย่างถัดมาคือ มีไฟส่องสว่างในตำแหน่งพิเศษ นั่นคือ ไฟส่องสว่างขณะเลี้ยวรถ (Dual Cornering Lamp) ติดตั้งบริเวณชายกันชนหน้าทั้งด้านซ้ายและขวาเป็น“อุปกรณ์มาตรฐาน” ไฟสองดวงนี้จะทำงานก็ต่อเมื่อเปิดสัญญาณไฟเลี้ยว เปิดด้านไหนก็จะสว่างด้านนั้น เพื่อเพิ่มการมองเห็นในที่มืดขณะเลี้ยวรถ นอกนั้นก็เป็นเรื่องดีไซน์ล้วนๆที่ทำให้ภายนอกของรถคันนี้นั้นดูดี อย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่ารุ่นนี้เป็นรุ่นปรับโฉมย่อย สิ่งที่เปลี่ยนไปจากในรุ่นแรกคือ เปลี่ยนกระจังหน้าลายใหม่ เปลี่ยนกันชนหน้า-หลังดีไซน์ใหม่ และเปลี่ยนไฟท้ายดีไซน์ใหม่ และความแตกต่างภายนอกของรุ่น 12 วาล์ว และ 24 วาล์ว คือ รุ่น 24 วาล์วนั้นไฟหน้าจะเป็นสีขาวจัดกว่ารุ่น 12 วาล์ว กระจังหน้าจะเป็นแบบช่องเดียว และไฟท้ายก็จะมีรูปแบบไม่เหมือนกับรุ่น 12 วาล์ว ทุกรุ่นใช้ล้ออัลลอยด์ขนาด 6JJx15 นิ้ว สวมเข้ากับยางขนาด 205/60 R15 สมัยนั้นยางขนาดนี้ถือว่ามีขนาดใหญ่พอสมควรครับ

[セフィーロ FujinBlue]

    ของเล่นด้านนอกว่าไฮเทคแล้ว ภายในนั้นไฮเทคยิ่งกว่า!!!! เพื่อความสะดวกสบายโดยเฉพาะครับ ^^ เริ่มจากกระจกบังลมหน้าแบบอัดซ้อนนิรภัย 2 ชั้น (Laminated) กระจกหน้าต่างเลื่อนขึ้น-ลงไฟฟ้าทั้ง 4 บาน พร้อมระบบเซ็นทรัลล๊อคที่ไม่ธรรมดา เพราะมีระบบ Auto Door Lock เมื่อรถออกตัวจนความเร็วขึ้นถึง 15 Km./H.ระบบที่ว่านี้จะสั่งล๊อคประตูอัตโนมัติทันที มีกระจกมองข้างปรับและ“พับ”ไฟฟ้า มาตรวัดต่างๆมีครบดังเช่นรถคันอื่นทั่วไป และเพิ่มนาฬิกาดิจิตอลและไฟบอกตำแหน่งเกียร์ (มีเฉพาะรุ่นเกียร์อัตโนมัติเท่านั้น) มาด้วย  พวงมาลัยหุ้มหนัง ปรับระดับได้“4 ทิศทาง”!!!! แบบรถสมัยนี้เลยด้วยครับ นั่นคือ สูง,ต่ำ,ใกล้,ไกล ครบเลยครับ แต่ลายพวงมาลัยต่างกัน คือในรุ่น 12 วาล์วใช้พวงมาลัยลายสามก้าน ในขณะที่รุ่น 24 วาล์วใช้พวงมาลัยลายสี่ก้าน แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ ไม่มีโลโก้หรือตัวอักษร Nissan ที่กลางวงพวงมาลัยเหมือนกันเลย!!!??? ปล่อยมันโล่งไว้แบบนั้นเพราะอะไรก็ไม่รู้ครับ ท่านใดพอจะทราบเหตุผล ณ จุดนี้ รบกวนชี้แจงให้ผมทีครับ สงสัยมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว =__=” มีช่องแอร์มาตรฐานสี่ช่อง ถัดลงมาจากช่องแอร์กลางเป็นที่อยู่ของสวิตซ์ควบคุมเครื่องปรับอากาศ ควบคุมได้ทั้งแบบปุ่มกดและคันเลื่อน แต่ที่เป็นของเล่นไฮเทคสุดล้ำยุคคือ เครื่องปรับอากาศชุดนี้เป็นแบบอัตโนมัติ (Auto Air Conditioning) หรือที่เรียกๆกันติดปากว่า“แอร์ Auto”นั่นแหละครับ!!!! มีเซ็นเซอร์ควบคุมอุณหภูมิภายในรถให้เหมาะสมอีกด้วย เป็นอย่างไรล่ะครับทุกท่าน ฮ่าๆๆๆๆๆๆ ถัดลงมาเป็นที่อยู่ของวิทยุ ซึ่งมันก็ไม่ธรรมดาอีกนั่นแหละครับ เพราะเป็นวิทยุแบบสเตอริโอ มีภาครับวิทยุ AM/FM แบบดิจิตอล พร้อมเครื่องเล่นเทปคลาสเส็ท 1 ตลับโหลดด้านหน้า มาพร้อมกับลำโพงระบบ Active Sound ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เสียงคมชัดทรงพลัง ถัดลงมาเป็นช่องเก็บของแบบมีฝาปิด แผงคอนโซลกลางเป็นที่อยู่ของคันเกียร์และกล่องเก็บของ หัวเกียร์หุ้มหนังด้วยนะครับผม แต่เดี๋ยวก่อน!!!! คุณๆอาจจะสงสัยใช่ไหมครับว่ามันเหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง………???? ถูกต้องครับ!!! “เบรกมือ” มันหายไปไหน??? ผมจะเฉลยว่า เบรกมือของรถคันนี้ไม่ได้อยู่ที่คอนโซลกลางครับ….. แต่มันอยู่บริเวณที่พักเท้าต่างหาก!!!! จะเป็นแป้นเหยียบเล็กๆอยู่ถัดมาทางซ้ายจากแป้นเบรกตรงบริเวณที่พักเท้าแบบรถหรูๆสมัยนี้เลยนั่นแหละครับ วิธีใช้ก็เหมือนรถสมัยนี้เลยครับ เหยียบลงไปเบรกมือก็ทำงาน จะปลดเบรกก็เหยียบซ้ำลงไปให้เสียงดังแกร๊ก แป้นมันก็จะเด้งกลับคืนมา เป็นการปลดเบรกมือไปครับ เป็นอย่างไรครับ แอบทันสมัยเสียด้วยนะเนี่ยยยย ><

เบาะนั่งลายคล้ายกัน แต่วัสดุที่ใช้หุ้มต่างกัน ในรุ่น 12 วาล์วจะหุ้มด้วยผ้ากำมะหยี่ แต่ในรุ่น 24 วาล์วจะหุ้มด้วยหนังสีดำอย่างหรู แต่สิ่งที่เพิ่มความหรูเข้าไปอีกคือ เบาะนั่งคนขับปรับระดับด้วยไฟฟ้าครับ!!!! ที่ทาง Nissan เรียกว่า Power Seat ปรับเดินหน้า-ถอยหลัง เอนพนักพิง และปรับระดับสูง-ต่ำ ด้วยสวิตซ์ด้านข้างเบาะนั่งแบบรถสมัยนี้เลยล่ะครับ

[セフィーロ FujinBlue]

   ในด้านของรายละเอียดเครื่องยนต์นั้น ถ้าสยามกลการไม่เล่นเกมส์งัดข้อกับทางญี่ปุ่นอย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น เราก็คงจะได้แต่เครื่อง 12 วาล์วที่สุดจะโบร่ำโบราณมาใช้กันแบบเดียวล่ะครับ แต่ในเมื่อเราได้สเป๊กเครื่องทั้งสองแบบมาในรุ่นปรับโฉมย่อยนี้แล้ว เราก็จะมาไล่ดูรายละเอียดกันทั้งสองแบบเครื่องยนต์กันเลยครับ เริ่มจากรุ่นเครื่อง 12 วาล์วครับ เป็นเครื่องยนต์รหัส RB20E แบบ 6 สูบแถวเรียง 12 วาล์ว OHC (เป็นอย่างไรล่ะครับ โบราณสุดทีน!!!) ความกว้างกระบอกสูบxระยะชัก 78.0x69.7 mm. ปริมาตรความจุกระบอกสูบ 1,998 CC. อัตราส่วนกำลังอัด 9.5 : 1 มีแรงม้าสูงสุด 121 แรงม้าที่ 5,200 รอบ/นาที มีแรงบิดสูงสุด 17.6 กก.ม.ที่ 4,400 รอบ/นาที จ่ายน้ำมันด้วยระบบหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ ปั๊มเชื้อเพลิงแบบไฟฟ้า ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ECCS (นี่ยังดีนะว่าใช้ระบบหัวฉีด ถ้ายังจ่ายน้ำมันด้วยคาบูเรเตอร์อยู่ล่ะก็ โดนด่าเปิงแหงๆ!!!!)

ต่อมาเป็นรุ่นเครื่อง 24 วาล์ว ที่เราเกือบจะไม่ได้มีใช้กันแล้ว เป็นเครื่องยนต์รหัส RB20DE แบบ 6 สูบแถวเรียง Twin Cam 24 วาล์ว DOHC (เป็นอย่างไรครับ ต่างกันราวฟ้ากับเหวเลย เครื่องตัวนี้ทันสมัยกว่ามาก เพราะมี“แค็มคู่ วาล์วเยอะกว่า”ครับ!!!!) ความกว้างกระบอกสูบxระยะชัก 78.0x69.7 mm. ปริมาตรความจุกระบอกสูบ 1,998 CC. อัตราส่วนกำลังอัด 10.2 : 1 มีแรงม้าสูงสุด 152 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที มีแรงบิดสูงสุด 18.5 กก.ม.ที่ 5,200 รอบ/นาที จ่ายน้ำมันด้วยระบบหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ ปั๊มเชื้อเพลิงแบบไฟฟ้า ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ECCS อีกเช่นกัน

[セフィーロ FujinBlue]

ในด้านของระบบขับเคลื่อนนั้น Cefiro A31 คันนี้ ใช้ระบบขับเคลื่อนด้วย“ล้อหลัง”ครับ ^^ ส่งกำลังผ่านเกียร์สามแบบ!!! แบบแรกเป็นเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะอัตราทดเดินหน้า เชื่อมด้วยคลัตซ์แบบจานแห้งแผ่นเดียว ใช้สปริงแบบฟันหวี มีให้เลือกในรุ่น 12 วาล์ว แบบที่สองสำหรับคนที่รักการขับรถแบบสบายๆ ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะอัตราทดเดินหน้า เชื่อมด้วยคลัตซ์แบบทอร์คคอนเวอร์เตอร์ (เกียร์ 4 เป็น Over Drive) มีในรุ่น 12 วาล์ว

และพิเศษแบบที่สามในรุ่น 24 วาล์ว จะใช้เกียร์อัตโนมัติแบบใหม่ล่าสุด (ของยุคนั้น) ลิขสิทธิ์เฉพาะ Nissan นั่นคือเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะอัตราทดเดินหน้า!!!! นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่มีการติดตั้งเกียร์อัตโนมัติแบบ 5 สปีดในรถยนต์ที่ขายในไทยเลยก็ว่าได้ เชื่อมด้วยคลัตซ์แบบทอร์คคอนเวอร์เตอร์ อีกเช่นกัน และเกียร์อัตโนมัติของรถคันนี้มีความไฮเทคซ่อนอยู่ นั่นคือมีระบบคอมพิวเตอร์ที่มีชื่อว่า DUET-EA ใช้ควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์และเกียร์อัตโนมัติให้สัมพันธ์กัน โดยคอมพิวเตอร์จะช่วยปรับระดับการจ่ายน้ำมัน และสั่งเปลี่ยนอัตราทดเกียร์ให้สัมพันธ์กับน้ำหนักที่ใช้เท้ากดคันเร่งลงไป ส่งผลให้การขับเคลื่อนเป็นไปอย่างนุ่มนวลและในช่วงเปลี่ยนเกียร์ ตอบสนองอัตราเร่งได้อย่างเหมาะสม

[セフィーロ FujinBlue]

ระบบช่วงล่างถือได้ว่าเป็นจุดขายสำคัญของรถคันนี้ เพราะว่ามีเทคโนโลยีที่ไฮเทคล้ำสมัยอยู่ ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบพิมพ์นิยมในสมัยนี้ นั่นคือแบบ แมคเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริงชนิดเยื้องศูนย์ พร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลังเป็นแบบที่ Nissan คุ้นเคยกันดี นั่นคือแบบ อิสระ Multi-Link พร้อมเหล็กกันโคลง

และเทคโนโลยีช่วงล่างสุดไฮเทคที่ผมกล่าวไว้นั้น มีชื่อเรียกระบบนี้ว่า DUET-SS ได้รับการพัฒนามาจากระบบคลื่น Sonar ที่ใช้หลักการวิทยาศาสตร์ในเรื่องการสะท้อนของคลื่นเพื่อตรวจจับวัตถุต่างๆ ระบบนี้จะทำงานคล้ายๆกันครับ นั่นคือจะมีตัวรับ-ส่งคลื่นสัญญาณ Sonar อยู่บริเวณหน้ารถ ทำการส่งคลื่นสัญญาณออกไปแล้วให้สะท้อนกลับมาเพื่อจะใช้วัดค่าความเรียบของพื้นผิวถนน เมื่อได้ค่าที่ต้องการแล้ว คอมพิวเตอร์จะประมวลผลและสั่งการให้ปรับความหนืดของช๊อคอัพให้เหมาะสมกับพื้นผิวถนน และปรับน้ำหนักของพวงมาลัยให้มีน้ำหนักที่เหมาะสมและสัมพันธ์กับความเร็วรถในขณะนั้นด้วย เป็นระบบที่ไฮเทคสุดๆไปเลยใช่ไหมล่ะครับ!!! >< ที่สำคัญ ผมรู้สึกว่าระบบนี้มีให้ในทุกรุ่นย่อยด้วยล่ะครับ…..WOW!!!!! ระบบพวงมาลัยยังคงเป็นแบบ Rack and Pinion พร้อมเพาเวอร์ช่วยผ่อนแรง ควบคุมน้ำหนักพวงมาลัยให้เหมาะสมกับความเร็วด้วยระบบ DUET-SS อย่างที่ได้กล่าวถึงไปเมื่อครู่นี้ ซึ่งผมคิดว่ายังไม่ต้องถึงขั้นเป็นพวงมาลัยไฟฟ้า EPS หรอกครับ มันยังไม่น่าจะถึงเวลาอันสมควรน่ะครับ อิอิ ;p ส่วนรัศมีวงเลี้ยวแคบสุดนั้นวัดได้ 5.0 m.ครับ กว้างไปหน่อย ระบบเบรกนั้นให้มาเป็นดิสก์เบรกทั้งสี่ล้อ และดิสก์คู่หน้ามีช่องระบายความร้อน แน่ล่ะครับ รถทั้งคันมันไฮเทคเสียขนาดนี้ ถ้าขืนยังให้ดรัมเบรกคู่หลังมาล่ะก็โดนด่ายับแน่ครับ และมีระบบป้องกันล้อล๊อคตาย ABS ให้ด้วย ซึ่งมันไม่ใช่ระบบ ABS ธรรมดาๆนะครับ ทาง Nissan เรียกว่า “ABS Integral Electronics” ซึ่ง นอกจากจะป้องกันอาการล้อล๊อคตายจากการเบรกกะทันหันแล้ว ยังช่วยควบคุมทิศทางของรถในขณะที่เบรกกะทันหัน ทั้งพื้นถนนแห้งและลื่นไม่ให้รถเสียหลักอีกด้วย!!!! เรียกว่ายังไม่ทิ้งความไฮเทคในด้านความปลอดภัยเหมือนกันนะครับ ;)

[セフィーロ FujinBlue]

  ตลอดช่วงอายุตลาดของ A31 คันนี้เรียกได้ว่าสร้างกระแสฮือฮาได้ตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกในไทยเลยครับ ในช่วงแรกเปิดตัวด้วยราคา 1 ล้านบาทต้นๆ ซึ่งมันแพงกว่าคู่แข่งอย่างมากเลยแต่ถึงกระนั้น ยอดขายมันกลับสวนทางกับราคาที่แพงหูฉี่ เพราะมันดันขายดีเป็นเทน้ำเทท่า!!!! จนกลายเป็นรถชื่อดังในต้นยุค 90’s ไปเลย ยิ่งภายหลังรัฐบาลมีนโยบายปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ ทำให้ราคาของ A31 ร่วงหล่นมาอยู่ที่ 7 แสนบาทปลายๆ นั่นทำให้ A31 ที่ขายดีอยู่แล้วยิ่งขายดีเข้าไปอีก ทำกำไรเป็นกอบเป็นกำเลยล่ะทีนี้ และด้วยความสวยเฉี่ยวของมัน เวลาเจ้าของรถขับมันไปไหนมาไหน ก็มักจะมีสายตาจากเจ้าของรถคันอื่นๆบนท้องถนนมองค้อนจนเหลียวหลังมาที่รถคันนี้แหงๆ อิอิ ซึ่งแม้แต่เหล่า Celebrity คนดังและคนในวงการบันเทิงในสมัยนั้นยังหลงเสน่ห์ในความสวยเฉี่ยวของรถคันนี้จนต้องจับจองเป็นเจ้าของก็หลายคนอยู่ เช่น เสี่ยตา ปัญญา นิรันดร์กุล, คุณแหม่ม จินตหรา สุขพัฒน์ และคุณโอ วรุฒ วรธรรม เป็นต้น โดยเฉพาะคุณโอนั้น ถ้าใครยังจำกันได้ มีช่วงหนึ่งเคยเป็นข่าวเป็นคราวดังเลยล่ะ ว่าคุณโอขับเจ้า A31 คู่ใจของเขาไปจอดติดสี่แยกไฟแดงแห่งหนึ่ง(ที่ไหนจำไม่ได้) แล้วก็ฟุบหลับสนิทคาพวงมาลัยไปเลย จนถึงขั้นที่เจ้าหน้าที่กู้ภัยต้องมาทุบกระจกปลุกกันเลยทีเดียว นอกจากจะเป็นที่หมายปองของบรรดาคนดังแล้ว ยังเป็นที่หมายปองของบรรดาขโมยขโจรอีกแหน่ะ!!! เคยมีคนพูดติดตลกไว้ว่า โจรมันขโมยรถคันนี้ไป เพื่อจะเอาไอ้สัญญาณ Sonar ในระบบ DUET-SS ไปติดเรือประมงหาปลาในทะเล!!!??? เหอออออ O_O” ช่างคิดได้เนอะ!!!! ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ Cefiro A31 ยังมีการปรับโฉมย่อยอีกหนึ่งครั้งในปี 1994 ทำตลาดต่อมาอีก 2 ปีก่อนที่จะหมดอายุตลาดไป และอย่างที่ผมได้เกริ่นเอาไว้ว่ารถคันนี้ใช้ระบบขับเคลื่อน“ล้อหลัง” ประกอบกับมีห้องเครื่องที่ยาวจนวางเครื่อง 6 สูบเรียงได้ (นั่นทำให้พื้นที่ภายในแคบไปถนัดตา จนมีเสียงบ่นกันว่ามันแคบไปนะ เผลอๆจะแคบกว่าคู่แข่งเสียด้วย) ทำให้มันเป็นที่นิยมในการนำมาปรับแต่ง Modify จนมันกลายเป็นรถที่ใช้แข่งในสนามแข่งขันกันไป และนี่ก็เป็นคำตอบว่าทำไมจากรถหรูสุดไฮเทค จึงกลายร่างเป็นรถแข่งไปได้นั่นเองครับ

ในปัจจุบัน Cefiro A31 ในตลาดรถมือสองส่วนใหญ่ จะกลายเป็นรถที่เจ้าของเดิมนำไปแต่งและ Modify กันไปหมดแล้ว รถสภาพเดิมๆนั้นเริ่มที่จะหายากขึ้นทุกที ส่วนราคารถที่มีสภาพเดิมๆนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 1 แสนบาทปลายๆบวกลบครับ ส่วนรถที่แต่งมาแล้วราคาอาจจะบวกขึ้นมาเล็กน้อยครับผม

[セフィーロ FujinBlue]

 จบกันไปแล้วอีกหนึ่งบทความนะครับ หากว่ามีข้อมูลที่ขาดตกบกพร่องประการใด
ทุกๆท่านสามารถติชมและให้คำแนะนำได้ทางคอมเม้นต์ด้านล่างนะครับ ขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามาอ่านมาชมนะครับ ส่วนในบทความต่อไปจะเป็นรถรุ่นอะไร ฝากติดตามกันนะครับ สวัสดีครับ ^/\^

Credit Picture :
http://www.matchingcar.com

และข้อมูลประกอบจาก
http://www.headlightmag.com/main/index.php?option=com_content&view=article&id=1388:50-1985-2005-part-ii-&catid=98:automobile-history&Itemid=78