A31Club คลับคนรัก Nissan Cefiro A31

ข่าว:

  • เป็นอีกหนึ่งช่องทางการติดต่อกับ A31club ด้วย facebook ทั้งนี้ทั้งนั้นเรายังไงติดต่อสื่อสารบนทางเว็บบอร์ดเป็นหลักนะครับ
    อย่าลืมกด Like Fanpage กันด้วยนะค๊าบ





    A31CLUB Forever,Not Zone,Not Group but Only one is A31CLUB

  • A31CLUB Forever,Not Zone,Not Group but Only one is A31CLUB

ข่าว

A31CLUB Forever,Not Zone,Not Group but Only one is A31CLUB

CD SLOT PHONE MOUNT ที่วางโทรศัพท์มือถือในรถ แบบเสียบ ช่องซีดี

jigkooffroad · 43939

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ jigkooffroad

  • RB20 DE
    • กระทู้: 0
    • แรงม้า +0/-0
ตอบกลับ #20 เมื่อ: มกราคม 03, 2014, 08:30:03 PM
นายปรัธนา ลีลพนัง ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส สายงานผลิตภัณฑ์และบริการดิจิตอล บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส กล่าวว่า “เอไอเอส 3G 2100 ต้อนรับศักราชใหม่ 2557 ด้วยการจับมือกับโอเปอร์เรเตอร์ MPT พม่า เปิดให้บริการดาต้า โรมมิ่ง ในประเทศพม่าเป็นรายแรกในโลก ซึ่งนับเป็นการเปิดบันทึกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของบริการ IR  โดยที่มาของความร่วมมือในครั้งนี้  เนื่องจาก “พม่า” เป็นประเทศเพื่อนบ้านที่ปัจจุบันมีคนไทยจำนวนมากนิยมเดินทางไปทำธุรกิจหรือท่องเที่ยว ดังนั้นการที่เอไอเอสเปิดให้บริการดาต้า โรมมิ่ง ในประเทศพม่า จึงทำให้ลูกค้าเอไอเอสได้รับประโยชน์สูงสุด เพราะสามารถเชื่อมต่อโลกออนไลน์ได้ตลอดเวลาขณะเดินทางในประเทศพม่า

ยิ่งไปกว่านั้นลูกค้ายังสามารถใช้งานได้อย่างประหยัดยิ่งขึ้น ด้วยแพ็กเกจ “Super Value Data Roaming” เพียง 6 บาทกว่าๆ ต่อเมกะไบท์ มีให้เลือกตามปริมาณการใช้งานทั้งแพ็กเกจ 50 เมกะไบท์ ใช้งานได้ 1 วัน , 150 เมกะไบท์ ใช้งานได้ 3 วันและ 250 เมกะไบท์ ใช้งานได้ 5 วัน โดยลูกค้าเอไอเอสรายเดือนสามารถสมัครแพ็กเกจดังกล่าวได้แล้วตั้งแต่วันนี้  และลูกค้าระบบเติมเงินจะสมัครได้ตั้งแต่วันที่ 14 ม.ค.57 เป็นต้นไป

นอกจากนี้ลูกค้าเอไอเอสรายเดือนยังสบายใจ ไร้กังวล ตลอดเวลาที่ใช้งานดาต้าขณะอยู่ในประเทศพม่า ด้วยบริการ “AIS No Worry Data Roaming”ที่ให้ลูกค้าสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้จริงอย่างโปร่งใส ช่วยป้องกันปัญหาเน็ตรั่วในต่างประเทศ เนื่องจากระบบจะแจ้งเตือนเมื่อปริมาณดาต้าคงเหลือของแพ็กเกจใกล้จะหมด  เพื่อช่วยป้องกันค่าใช้บริการส่วนเกินจากแพ็กเกจที่สมัครไว้โดยไม่ตั้งใจ และจะหยุดการใช้งานดาต้า โรมมิ่งเมื่อใช้งานถึงวงเงินที่ลูกค้ากำหนดไว้ ทำให้ไม่มีปัญหาบิลช็อก “NO BILL SHOCK”

การเปิดให้บริการดาต้า โรมมิ่งในประเทศพม่าครั้งนี้ นับเป็นการขยายการให้บริการข้ามแดนอัตโนมัติของเอไอเอสอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการและพฤติกรรมการใช้งานของลูกค้า ให้ได้รับความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น หลังจากที่เอไอเอสได้เปิดให้บริการ “Voice โรมมิ่ง” ในประเทศพม่าไปแล้วตั้งแต่เดือน ก.ย.2554 และเปิดให้บริการ “SMS โรมมิ่ง” ไปเมื่อวันที่ 9 ธ.ค.2556

ลูกค้าเอไอเอสที่สนใจ สามารถสมัครแพ็กเกจ “Super Value Data Roaming” ที่ เอไอเอส คอลล์ เซ็นเตอร์ 1175 หรือเอไอเอสช็อปทุกสาขาทั่วประเทศหรือสมัครขณะเดินทางอยู่ในประเทศพม่า ได้ที่เอไอเอส คอลล์ เซ็นเตอร์ โดยโทร +66 22719000”



ออฟไลน์ jigkooffroad

  • RB20 DE
    • กระทู้: 0
    • แรงม้า +0/-0
วันนี้(3ม.ค.) น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.)และคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์(กสท.)เปิดเผยว่าที่ประชุมกสท.จันทร์ที่6 ม.ค.57 จะพิจารณารับรองผลการประมูลคลื่นความถี่เพื่อให้บริการโทรทัศน์ในระบบดิจิทัล24ช่องที่ประมูลไปเมื่อวันที่  26 - 27 ธ.ค. 57ซึ่งหากหากไม่มีเรื่องร้องเรียนใดการรับรองผลน่าจะผ่านไปได้ด้วยดี 

อย่างไรก็ตามจะสอบถามสำนักงานกสทช.ถึงความชัดเจนแผนการขยายโครงข่าย ในการแพร่สัญญาณทีวีดิจิทัลครอบคลุมครัวเรือนทั้งประเทศทั้ง 4 รายของผู้ให้บริการโครงข่ายทีวีดิจิตอล ได้แก่บมจ. อสมท. กองทัพบก กรมประชาสัมพันธ์ และองค์การแพร่ภาพและกระจายเสียงแห่งประเทศไทย(ไทยพีบีเอส)  เนื่องจากสิ่งสำคัญที่สังคมอยากรู้ต่อจากนี้คือ ช่องทางที่ผู้บริโภคจะสามารถรับชมทีวีดิจิทัลได้ซึ่งเป็นรายละเอียดต่อไปที่กสท.จะต้องเร่งพิจารณาการสนับสนุนคูปองแลกกล่องหรือเซตทอป บ็อกซ์ รวมถึงจะสัมพันธ์ในการเข้าถึงพื้นที่และการแจกคูปองส่วนลด

นอกจากนี้ มีวาระพิจารณาร่างประกาศ กสทช.เรื่องหลักเกณฑ์การกำกับดูแลเนื้อหารายการในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์พ.ศ.... ภายหลังการขยายระยะเวลาการรับฟังความเห็นสาธารณะเพิ่มเติม  เนื่องจากมีจดหมายสำคัญจากคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย(คปก.)ที่คัดค้านในเรื่องนี้ด้วยจึงเห็นว่า กสทช.ควรพิจารณาความเห็นจากคปก.อย่างจริงจังถ้าเป็นไปได้ควรเลื่อนการพิจารณาเรื่องนี้ออกไปเพื่อสร้างความชัดเจนทางกฎหมายและทางออกว่าถ้าไม่มีร่างประกาศฯ ตามม.37ในเวลานี้ การกำกับเนื้อหาทางกฎหมายจะเป็นอย่างไร

“อยากใช้โอกาสนี้เรียกร้องถึงว่าที่ผู้รับใบอนุญาต24 ช่องควรรวมตัวกัน จัดตั้งเป็นสมาคม สมาพันธ์ สภาต่างๆที่จะส่งเสริมการกำกับดูแลกันเองตามกรอบจรรณยาบรรณทั้งในระดับผู้ประกอบการและกองบรรณาธิการช่องข่าว และยังเป็นการต่อรองกับกสทช.ในการกำกับเนื้อหาที่ไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพภายใต้เกณฑ์จริยธรรมจรรณยาบรรณที่กำหนดรวมถึงการสนับสนุนการรวมตัวกันทางวิชาชีพเพื่อสร้างมิติใหม่ในการกำกับดูแลและสร้างศูนย์รับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภค เน้นการกำกับดูแลร่วมโดยให้สื่อกำกับตัวเองมากกว่ารัฐจะใช้กฎหมายเข้าไปเซ็นเซอร์ที่ทำให้เกิดความคึกคักในกำกับดูแลของวิชาชีพและน่าจะเป็นการตรวจสอบถ่วงดุลกัน"น.ส.สุภิญญากล่าว



ออฟไลน์ jigkooffroad

  • RB20 DE
    • กระทู้: 0
    • แรงม้า +0/-0
ตอบกลับ #22 เมื่อ: มกราคม 06, 2014, 01:30:49 PM
ที่บริเวณหน้าหน้าสโมสรเบนฟิกา ในกรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส แฟนบอลจำนวนมากได้พากันออกมาร่วมแสดงความไว้อาลัยต่อการจากไปของ ยูเซบิโอ ตำนานนักเตะของสโมสร และทีมชาติโปรตุเกส ที่เสียชีวิต ด้วยอาการหัวใจล้มเหลว เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ขณะที่อายุได้ 71 ปี

    อดีตกองหน้าเจ้าของฉายา "เสือดำแห่งโมซัมบิก" ทำประตูได้ถึง 733 ประตู จากการลงสนามในเกมลีกอาชีพ 745 เกม และยังยิงได้ถึง 9 ประตู ในฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย ปี 1966 ที่อังกฤษ ทำให้ได้รับตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดของการแข่งขัน

    นอกจากแฟนบอลแล้ว ยังมีบุคคลสำคัญในวงการลูกหนังโลกออกมาแสดงความเสียใจต่อการจากไปของ ยูเซบิโอ อีกมากมาย โดย เซปป์ แบลตเตอร์ ประธานสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือ ฟีฟ่า ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวว่า "ความยิ่งใหญ่ของ ยูเซบิโอ ในฐานะสุดยอดนักเตะของโลกจะไม่มีวันจากไปไหน"

    ขณะที่้ โฮเซ มูรินโญ ยอดกุนซือของเชลซี ซึ่งเป็นชาวโปรตุกีส เช่นเดียวกับ ยูเซบิโอ เผยว่า "ผมคิดว่า ยูเซบิโอ คืออมตะ เขาจึงไม่มีวันตาย" ด้าน คริสเตียโน โรนัลโด กัปตันทีมชาติโปรตุเกส ซึ่้งมีความสนิทสนมกับ ยูเซบิโอ เป็นพิเศษ ทวิตข้อความว่า "ยูเซบิโอ จะอยู่ในหัวใจของพวกเราตลอดไป".



ออฟไลน์ jigkooffroad

  • RB20 DE
    • กระทู้: 0
    • แรงม้า +0/-0
ตอบกลับ #23 เมื่อ: มกราคม 06, 2014, 08:41:32 PM
กสท. เตรียมประชุมบอร์ดวันนี้เพื่อรับรองผลผู้ชนะการประมูลทีวีดิจิทัลจำนวน 24 ราย เตรียมออกอากาศเดือก.พ. นี้

พ.อ.ดร.นที ศุกลรัตน์ รองประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) และประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ กสท.จัดประมูลทีวีดิจิทัลเพื่อให้บริการธุรกิจ 24 ช่องไปเมื่อวันที่ 26-27 ธ.ค. 56 คาดว่าจะมีการรับรองผลผู้ชนะได้ในวันจันทร์ที่ 6 ม.ค. 57 ซึ่งถือว่าเร็วกว่ากำหนดที่ระบุว่า จะต้องประกาศรายชื่อผู้ชนะการประมูลภายใน 15 วัน นับแต่สิ้นสุดเวลาการประมูล

สำหรับผู้ที่ชนะการประมูลจะได้รับหนังสือแจ้งการเป็นผู้ชนะ พร้อมทั้งดำเนินการตามเงื่อนไขก่อนรับใบอนุญาตภายใน 45 วัน โดยต้องชำระค่าธรรมเนียมใบอนุญาตงวดที่ 1 จำนวนร้อยละ 50 ของราคาขั้นต่ำ พร้อมวางหนังสือค้ำประกันจากสถาบันการเงินสำหรับค่าธรรมเนียมงวดที่  2 (ภายใน 30 วันนับแต่ได้รับหนังสือแจ้งเป็นผู้ชนะการประมูล) และดำเนินการขอใช้โครงข่ายโทรทัศน์กับผู้ให้บริการโครงข่ายฯภายใน 30 วัน หากผู้ชนะการประมูลปฏิบัติตามเงื่อนไขการประมูลครบถ้วนแล้ว กสท. จะออกใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ และใบอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์ในระบบดิจิทัลประเภทบริการทางธุรกิจระดับชาติให้โดยมีอายุ 15 ปี

อย่างไรก็ตามคาดว่าผู้ประกอบการจะเปิดให้บริการทีวีดิจิทัลได้ประมาณเดือน ก.พ.57 โดยแบ่งเป็น 4 หมวดหมู่ ได้แก่ ช่องเอชดี ประกอบด้วย1.บริษัท บีอีซี-มัลติมีเดีย จำกัด (ช่อง 3) 2.บริษัท บางกอก มีเดีย แอนด์       บรอดคาสติ้ง จำกัด 3.บริษัท กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ จำกัด (ช่อง 7 ) 4.บริษัท ทริปเปิล วี บรอดคาสท์ จำกัด (ไทยรัฐ) 5.บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) 6.บริษัท อมรินทร์ เทเลวิชั่น จำกัด 7.บริษัท จีเอ็มเอ็ม เอชดี ดิจิทัล ทีวี จำกัด ช่องเอสดี ประกอบด้วย 1.บริษัท ไทย บรอดคาสติ้ง จำกัด (เวิร์คพ้อยท์) 2.บริษัท ทรู ดีทีที จำกัด 3.บริษัท จีเอ็มเอ็ม เอสดี ดิจิทัล ทีวี จำกัด 4.บริษัท บีอีซี-มัลติมีเดีย จำกัด (ช่อง 3) 5.บริษัท อาร์.เอส.เทเลวิชั่น จำกัด 6.บริษัท โมโน บรอดคาซท์ จำกัด 7.บริษัท แบงคอก บิสสิเนส บรอดแคสติ้ง จำกัด (เครือเนชั่น )

ด้าน ช่องข่าว ประกอบด้วย 1.บริษัท เอ็นบีซี เน็กซ์ วิชั่น จำกัด (เครือเนชั่น)2.บริษัท วอยซ์ ทีวี จำกัด 3.บริษัท ไทยทีวี จำกัด 4.บริษัท สปริงนิวส์ เทเลวิชั่น จำกัด 5. บริษัท ไทย นิวส์ เน็ตเวิร์ค (ทีเอ็นเอ็น) จำกัด (เครือทรู) 6.บริษัท ดีเอ็น บรอดคาสท์ จำกัด (เดลินิวส์ ทีวี) 7. บริษัท 3 เอ. มาร์เก็ตติ้ง จำกัด และช่องเด็ก ประกอบด้วย 1. บริษัท บีอีซี-มัลติมีเดีย จำกัด (ช่อง3) 2.บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) 3. บริษัท ไทยทีวี จำกัด.



ออฟไลน์ jigkooffroad

  • RB20 DE
    • กระทู้: 0
    • แรงม้า +0/-0
ตอบกลับ #24 เมื่อ: มกราคม 09, 2014, 12:29:27 PM
นักวิจัยไทย-ไต้หวัน ประสบความสำเร็จในการพัฒนาวิธีการตรวจแบคทีเรียสาเหตุกุ้งตายด่วน พร้อมเผยแพร่ข้อมูลวิธีการตรวจสู่สาธารณะเพื่อลดการระบาดของโรค

รายงานข่าวจากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ แจ้งว่า คณะนักวิจัยไทย นำโดย ศ.ดร. ทิมโมที ฟลีเกล ผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยวิจัยเพื่อความเป็นเลิศเทคโนโลยีชีวภาพกุ้ง ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยที่เกิดจากความร่วมมือของศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติและคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมมือกับคณะนักวิจัยไต้หวันนำโดย Prof. Chu Fang Lo จาก National Cheng Kung University (NCKU)) ประสบความสำเร็จในการพัฒนาวิธีการตรวจแบคทีเรียสาเหตุกุ้งตายด่วน EMS ด้วยเทคนิคพีซีอาร์ (PCR) ซึ่งการตรวจแบคทีเรียก่อโรคได้นี้จะช่วยลดการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วของเชื้อก่อโรค EMS ลงได้ และลดความเสี่ยงในการระบาดของแบคทีเรียชนิดนี้ต่อไป

ทั้งนี้ปัญหากุ้งตายด่วน หรือกุ้ง EMS เริ่มมีการระบาดครั้งแรกในประเทศจีน ในปี 2552 และมีการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วสู่ประเทศเวียดนาม มาเลเซีย และไทย ในปี 2553-2555 จากตัวอย่างกุ้งตายด่วนที่ทำการศึกษา พบว่ามีตัวอย่างที่มีโรคของตับและตับอ่อนวายฉับพลัน เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งมักจะเกิดขึ้นหลังการปล่อยลูกกุ้งลงบ่อดินไม่เกิน 35 วัน ในต้นปี 2556 พบว่าแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคนี้คือแบคทีเรียในกลุ่ม Vibrio parahaemolyticus ในขณะนั้นถึงแม้จะทราบสาเหตุของโรค แต่การควบคุมและป้องกันแบคทีเรียสาเหตุนี้เป็นไปได้ยาก เนื่องจากยังขาดวิธีการตรวจวินิจฉัยเชื้อก่อโรคที่มีความจำเพาะและรวดเร็ว ที่สามารถจะนำไปใช้ตรวจหาเชื้อก่อโรคในพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ และคัดกรองลูกกุ้งก่อนปล่อยลงบ่อดินได้

อย่างไรก็ดีด้วยเล็งเห็นถึงผลกระทบของโรคระบาดนี้ต่ออุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้งในระดับโลก และความเร่งด่วนที่จะต้องควบคุมการระบาด คณะนักวิจัยจึงได้เปิดเผยข้อมูลต่างๆ ทั้งวิธีการ และลำดับเบสในการออกแบบไพรเมอร์สำหรับตรวจหาเชื้อดังกล่าวสู่สาธารณะ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถนำวิธีการไปใช้เพื่อลดความเสี่ยงการระบาดของโรคได้อย่างกว้างขวางต่อไป.



ออฟไลน์ jigkooffroad

  • RB20 DE
    • กระทู้: 0
    • แรงม้า +0/-0
ตอบกลับ #25 เมื่อ: มกราคม 09, 2014, 04:41:20 PM
นักวิจัยไทย-ไต้หวัน ประสบความสำเร็จในการพัฒนาวิธีการตรวจแบคทีเรียสาเหตุกุ้งตายด่วน พร้อมเผยแพร่ข้อมูลวิธีการตรวจสู่สาธารณะเพื่อลดการระบาดของโรค

รายงานข่าวจากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ แจ้งว่า คณะนักวิจัยไทย นำโดย ศ.ดร. ทิมโมที ฟลีเกล ผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยวิจัยเพื่อความเป็นเลิศเทคโนโลยีชีวภาพกุ้ง ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยที่เกิดจากความร่วมมือของศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติและคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมมือกับคณะนักวิจัยไต้หวันนำโดย Prof. Chu Fang Lo จาก National Cheng Kung University (NCKU)) ประสบความสำเร็จในการพัฒนาวิธีการตรวจแบคทีเรียสาเหตุกุ้งตายด่วน EMS ด้วยเทคนิคพีซีอาร์ (PCR) ซึ่งการตรวจแบคทีเรียก่อโรคได้นี้จะช่วยลดการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วของเชื้อก่อโรค EMS ลงได้ และลดความเสี่ยงในการระบาดของแบคทีเรียชนิดนี้ต่อไป

ทั้งนี้ปัญหากุ้งตายด่วน หรือกุ้ง EMS เริ่มมีการระบาดครั้งแรกในประเทศจีน ในปี 2552 และมีการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วสู่ประเทศเวียดนาม มาเลเซีย และไทย ในปี 2553-2555 จากตัวอย่างกุ้งตายด่วนที่ทำการศึกษา พบว่ามีตัวอย่างที่มีโรคของตับและตับอ่อนวายฉับพลัน เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งมักจะเกิดขึ้นหลังการปล่อยลูกกุ้งลงบ่อดินไม่เกิน 35 วัน ในต้นปี 2556 พบว่าแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคนี้คือแบคทีเรียในกลุ่ม Vibrio parahaemolyticus ในขณะนั้นถึงแม้จะทราบสาเหตุของโรค แต่การควบคุมและป้องกันแบคทีเรียสาเหตุนี้เป็นไปได้ยาก เนื่องจากยังขาดวิธีการตรวจวินิจฉัยเชื้อก่อโรคที่มีความจำเพาะและรวดเร็ว ที่สามารถจะนำไปใช้ตรวจหาเชื้อก่อโรคในพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ และคัดกรองลูกกุ้งก่อนปล่อยลงบ่อดินได้

อย่างไรก็ดีด้วยเล็งเห็นถึงผลกระทบของโรคระบาดนี้ต่ออุตสาหกรรมการเลี้ยงกุ้งในระดับโลก และความเร่งด่วนที่จะต้องควบคุมการระบาด คณะนักวิจัยจึงได้เปิดเผยข้อมูลต่างๆ ทั้งวิธีการ และลำดับเบสในการออกแบบไพรเมอร์สำหรับตรวจหาเชื้อดังกล่าวสู่สาธารณะ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถนำวิธีการไปใช้เพื่อลดความเสี่ยงการระบาดของโรคได้อย่างกว้างขวางต่อไป.



ออฟไลน์ jigkooffroad

  • RB20 DE
    • กระทู้: 0
    • แรงม้า +0/-0
วันนี้(8 ม.ค.) น.อ.สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ ผู้อำนวยการศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) เปิดเผยว่า เดือน ม.ค.จนถึงต้นเดือน ก.พ. 57 นี้อุณหภูมิของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะเพิ่มขึ้นประมาณ 1-2 องศาเซลเซียลจากปกติในพื้นที่แนวราบอยู่ที่ 14 องศาเซลเซียลก็จะขึ้นมาที่ 16-17องศาเซลเซียลและจะกลับมาหนาวอีกประมาณ 2 วันครั้ง ส่งผลให้อุณหภูมิในภาคดังกล่าวหนาวสลับร้อนจึงเกิดหมอกหนาขึ้นส่งผลกระทบให้สนามบินบางจังหวัดโดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือเครื่องบินไม่สามารถบินขึ้น-ลงได้

อย่างไรก็ตามในช่วงนี้ยังถือเป็นช่วงที่น่าท่องเที่ยวอยู่จึงอยากเตือนนักท่องเที่ยวที่ยังคงเดินทางท่องเที่ยวภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือให้ระมัดระวังการจราจรโดยเฉพาะการเดินทางในช่วงเช้าเนื่องจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นและไม่นิ่งจะทำให้เกิดหมอกควันหนาบนท้องถนนทำให้การมองเห็นเป็นไปด้วยความลำบาก

"เดือน ม.ค.ทั้งเดือนจนถึงต้นเดือน ก.พ.ภาคที่จะต้องเจอกับหมอกควันและมีผลกระทบกับการบินคือภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือและกรุงเทพฯในบางพื้นที่อุณหภูมิจะเพิ่มขึ้นประมาณ 2 องศาเซลเซีลและจะลดลงสลับกันไป ดังนั้นนักท่องเที่ยวควรตรวจสอบเส้นทางการจราจรหากต้องเดินทางในช่วงเช้าก็ควรระมัดระวังหมอกควันเป็นพิเศษด้วย"น.อ.สมศักดิ์กล่าว



ออฟไลน์ jigkooffroad

  • RB20 DE
    • กระทู้: 0
    • แรงม้า +0/-0
"วัฒน์ชัย" ไม่หวั่น ชัตดาวน์ กทม. ชี้ มีแผนรับความเสี่ยงตลอดเวลา ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 3 หมื่นล้านบาท ฟันกำไรกว่า 2 พันล้านบาท ชู กลุ่มธุรกิจขายมือถือ-กล่องรับสัญญาณทีวีดิจิทัล เป็นพระเอก เล็งทำมือถือดูทีวีดิจิทัลออกขายปลายปีนี้

นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) เล่าว่า ด้วยเทรนด์การใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยเฉพาะสมาร์ทโฟน ที่มีเพิ่มขึ้น และ 3จี 4 จี มีการเปลี่ยนแปลง จากการแข่งขันของค่ายมือถือทั้ง 3 ราย ที่มีการขยายโครงข่ายและแข่งขันที่รุนแรง จะเห็นได้ว่าการแข่งขันมีอยู่ตลอดเวลา

จะเห็นได้จาก สมัยก่อน ค่ายมือถือไม่ขายโทรศัพท์แต่ปัจจุบัน ต่างให้ความสำคัญโดยการขายเครื่องโทรศัพท์มือถือร่วมกับโปรโมชั่น ต่างจากโทรศัพท์ค่ายใหญ่ อย่าง โนเกีย และ แบล็คเบอร์รี่ ที่ไม่มีการปรับตัวกับเทคโนโลยีข้างหน้า ทำให้กลายเป็นบริษัทที่ติดหล่มจนในที่สุด

นายวัฒน์ชัย เล่าว่า กลุ่มสามารถได้ตั้งเป้ารายได้ปี 57 ไว้กว่า 3 หมื่นล้านบาท หรือโต 30% จากปี 56 ที่มีรายได้ราว 23,000 ล้านบาท ส่วนกำไรปี 57 คาดจะมีกำไรมากกว่า 2 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 100% จากปีที่ผ่านมา ที่มีกำไรอยู่ที่ 1 พันล้านบาท

ส่วนการลงทุนปีนี้ จะลงทุนเพิ่มเติม 2-3 พันล้าน จะลงทุนหลักๆ บริษัทในเครือ ประกอบด้วย บริษัท สามารถ เทคคอม จำกัด(มหาชน) หรือ แซมเทล ที่อยู่ในกลุ่มสามารถ ซึ่งจะดำเนินงานด้านระบบโครงข่าย และ บริษัท สามารถ ไอ-โมบาย จำกัด(มหาชน) ที่จะมีการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อรองรับการใช้งานของลูกค้าอยู่เสมอ

สำหรับ ปัจจัยหลักในการสร้างรายได้ให้กลุ่มสามารถในปีนี้ มาจากการขายโทรศัพท์เคลื่อนที่ของ ไอ-โมบาย ที่ตั้งเป้ารวม 4 ล้านเครื่อง แบ่งเป็นสมาร์ทโฟน 70% ที่สร้างรายได้ ราว 13,000 ล้านบาท ปลายปีนี้ ไอ-โมบาย จะออกสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่รับชมทีวีดิจิทัลบนโทรศัพท์มือถือโดยไม่ต้องเชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ตด้วย

สำหรับธุรกิจที่คาดว่าจะช่วยหนุนรายได้ให้เติบโตตามเป้าอีกกลุ่มคือ การจำหน่ายกล่องรับสัญญาณทีวีดิจิทัล และเสาอากาศทั้งในและนอกตัวอาคาร ที่ตั้งเป้าในปีนี้ จะจำหน่ายได้ประมาณ 2 ล้านเครื่อง มีรายได้ที่ราว 2 พันล้านบาท

อย่างไรก็ตาม จากกรณีที่ บริษัท ไอ-สปอร์ต มีเดีย จำกัด ซึ่ง กลุ่มสามารถ ร่วมกับ กลุ่มบริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) ไม่สามารถประมูลคลื่นความถี่เพื่อให้บริการโทรทัศน์ในระบบดิจิทัลประเภทบริการทางธุรกิจระดับชาติ หรือการประมูลทีวีดิจิทัลของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์ (กสท.) เมื่อวันที่ 26-27 ธ.ค.56 ในกลุ่มช่องรายการข่าวไม่สำเร็จนั้น

ส่งผลให้ สามารถต้องผันตัวเองไปเป็นผู้ทำหน้าที่รับจ้างผลิตแทน โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจากับผู้ประกอบการทั้งที่ชนะการประมูลช่องรายการบนทีวีดิจิทัล และบนทีวีดาวเทียม เบื้องต้น เจรจาแล้วประมาณ 3-4 ราย

และธุรกิจกลุ่มที่ 3 คือการที่แซมเทล ที่สร้างรายได้จากการเข้าประมูลโครงการต่างๆ ซึ่งถือเป็นโครงการใหญ่ๆ ทั้งสิ้น ประกอบด้วย การวางระบบเช็คข้อมูลผู้โดยล่วงหน้า ให้แก่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และการวางระบบติดตั้งอุปกรณ์การออกอากาศโทรทัศน์ให้แก่ผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาติให้เป็นผู้ให้บริการโครงข่ายทีวีดิจิทัล

ทั้งนี้ แซมเทล จะยื่นซองประมูลแก่ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เป็นรายแรก ภายในสัปดาห์นี้ ซึ่งความสนใจสนใจทั้ง 4 สถานี แต่หากได้สถานีใดสถานีหนึ่ง ถือว่ามีความพอใจในระดับหนุ่งแล้ว ทั้งนี้ คาดว่า ธุรกิจของแซมเทล จะทำรายได้ให้กลุ่มสามารถประมาณ11,000 ล้านบาท

นายวัฒน์ชัย เล่าถึงสถานการณ์และปัญหาทางการเมืองของประเทศไทยว่าแนวโน้มอาจจะยืดเยื้อในปีนี้ จะไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัท เนื่องจากกลุ่มสามารถได้จัดทำแผนบริหารความเสี่ยงเป็นอย่างดี เพราะจากเดิมบริษัทมีรายได้จากกลุ่มธุรกิจภาครัฐถึง 70% แต่ปัจจุบัน ได้มีการปรับเปลี่ยนไปทำกับภาครัฐวิสาหากิจมากขึ้น จนส่งผลให้ปัจจุบันบริษัท มีสัดส่วนรายได้ เป็นเอกชน 50% และภาครัฐ 50%

หากดำเนินธุรกิจไม่ยึดติดกับ

พรรคการเมือง ถึงแม้ว่าการราบรื่นของงานบางครั้งจะไม่สะดวกเหมือนใคร แต่สิ่งไหนที่ได้มาง่ายๆ มักจะมีปัญหาตามมาเสมอ.

กัญณัฏฐ์ บุตรดี

Kanyanat25@gmail.com



ออฟไลน์ jigkooffroad

  • RB20 DE
    • กระทู้: 0
    • แรงม้า +0/-0
"วัฒน์ชัย" ไม่หวั่น ชัตดาวน์ กทม. ชี้ มีแผนรับความเสี่ยงตลอดเวลา ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 3 หมื่นล้านบาท ฟันกำไรกว่า 2 พันล้านบาท ชู กลุ่มธุรกิจขายมือถือ-กล่องรับสัญญาณทีวีดิจิทัล เป็นพระเอก เล็งทำมือถือดูทีวีดิจิทัลออกขายปลายปีนี้

นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) เล่าว่า ด้วยเทรนด์การใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยเฉพาะสมาร์ทโฟน ที่มีเพิ่มขึ้น และ 3จี 4 จี มีการเปลี่ยนแปลง จากการแข่งขันของค่ายมือถือทั้ง 3 ราย ที่มีการขยายโครงข่ายและแข่งขันที่รุนแรง จะเห็นได้ว่าการแข่งขันมีอยู่ตลอดเวลา

จะเห็นได้จาก สมัยก่อน ค่ายมือถือไม่ขายโทรศัพท์แต่ปัจจุบัน ต่างให้ความสำคัญโดยการขายเครื่องโทรศัพท์มือถือร่วมกับโปรโมชั่น ต่างจากโทรศัพท์ค่ายใหญ่ อย่าง โนเกีย และ แบล็คเบอร์รี่ ที่ไม่มีการปรับตัวกับเทคโนโลยีข้างหน้า ทำให้กลายเป็นบริษัทที่ติดหล่มจนในที่สุด

นายวัฒน์ชัย เล่าว่า กลุ่มสามารถได้ตั้งเป้ารายได้ปี 57 ไว้กว่า 3 หมื่นล้านบาท หรือโต 30% จากปี 56 ที่มีรายได้ราว 23,000 ล้านบาท ส่วนกำไรปี 57 คาดจะมีกำไรมากกว่า 2 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 100% จากปีที่ผ่านมา ที่มีกำไรอยู่ที่ 1 พันล้านบาท

ส่วนการลงทุนปีนี้ จะลงทุนเพิ่มเติม 2-3 พันล้าน จะลงทุนหลักๆ บริษัทในเครือ ประกอบด้วย บริษัท สามารถ เทคคอม จำกัด(มหาชน) หรือ แซมเทล ที่อยู่ในกลุ่มสามารถ ซึ่งจะดำเนินงานด้านระบบโครงข่าย และ บริษัท สามารถ ไอ-โมบาย จำกัด(มหาชน) ที่จะมีการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อรองรับการใช้งานของลูกค้าอยู่เสมอ

สำหรับ ปัจจัยหลักในการสร้างรายได้ให้กลุ่มสามารถในปีนี้ มาจากการขายโทรศัพท์เคลื่อนที่ของ ไอ-โมบาย ที่ตั้งเป้ารวม 4 ล้านเครื่อง แบ่งเป็นสมาร์ทโฟน 70% ที่สร้างรายได้ ราว 13,000 ล้านบาท ปลายปีนี้ ไอ-โมบาย จะออกสมาร์ทโฟนรุ่นแรกที่รับชมทีวีดิจิทัลบนโทรศัพท์มือถือโดยไม่ต้องเชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ตด้วย

สำหรับธุรกิจที่คาดว่าจะช่วยหนุนรายได้ให้เติบโตตามเป้าอีกกลุ่มคือ การจำหน่ายกล่องรับสัญญาณทีวีดิจิทัล และเสาอากาศทั้งในและนอกตัวอาคาร ที่ตั้งเป้าในปีนี้ จะจำหน่ายได้ประมาณ 2 ล้านเครื่อง มีรายได้ที่ราว 2 พันล้านบาท

อย่างไรก็ตาม จากกรณีที่ บริษัท ไอ-สปอร์ต มีเดีย จำกัด ซึ่ง กลุ่มสามารถ ร่วมกับ กลุ่มบริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) ไม่สามารถประมูลคลื่นความถี่เพื่อให้บริการโทรทัศน์ในระบบดิจิทัลประเภทบริการทางธุรกิจระดับชาติ หรือการประมูลทีวีดิจิทัลของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์ (กสท.) เมื่อวันที่ 26-27 ธ.ค.56 ในกลุ่มช่องรายการข่าวไม่สำเร็จนั้น

ส่งผลให้ สามารถต้องผันตัวเองไปเป็นผู้ทำหน้าที่รับจ้างผลิตแทน โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างการเจรจากับผู้ประกอบการทั้งที่ชนะการประมูลช่องรายการบนทีวีดิจิทัล และบนทีวีดาวเทียม เบื้องต้น เจรจาแล้วประมาณ 3-4 ราย

และธุรกิจกลุ่มที่ 3 คือการที่แซมเทล ที่สร้างรายได้จากการเข้าประมูลโครงการต่างๆ ซึ่งถือเป็นโครงการใหญ่ๆ ทั้งสิ้น ประกอบด้วย การวางระบบเช็คข้อมูลผู้โดยล่วงหน้า ให้แก่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และการวางระบบติดตั้งอุปกรณ์การออกอากาศโทรทัศน์ให้แก่ผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาติให้เป็นผู้ให้บริการโครงข่ายทีวีดิจิทัล

ทั้งนี้ แซมเทล จะยื่นซองประมูลแก่ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เป็นรายแรก ภายในสัปดาห์นี้ ซึ่งความสนใจสนใจทั้ง 4 สถานี แต่หากได้สถานีใดสถานีหนึ่ง ถือว่ามีความพอใจในระดับหนุ่งแล้ว ทั้งนี้ คาดว่า ธุรกิจของแซมเทล จะทำรายได้ให้กลุ่มสามารถประมาณ11,000 ล้านบาท

นายวัฒน์ชัย เล่าถึงสถานการณ์และปัญหาทางการเมืองของประเทศไทยว่าแนวโน้มอาจจะยืดเยื้อในปีนี้ จะไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัท เนื่องจากกลุ่มสามารถได้จัดทำแผนบริหารความเสี่ยงเป็นอย่างดี เพราะจากเดิมบริษัทมีรายได้จากกลุ่มธุรกิจภาครัฐถึง 70% แต่ปัจจุบัน ได้มีการปรับเปลี่ยนไปทำกับภาครัฐวิสาหากิจมากขึ้น จนส่งผลให้ปัจจุบันบริษัท มีสัดส่วนรายได้ เป็นเอกชน 50% และภาครัฐ 50%

หากดำเนินธุรกิจไม่ยึดติดกับ

พรรคการเมือง ถึงแม้ว่าการราบรื่นของงานบางครั้งจะไม่สะดวกเหมือนใคร แต่สิ่งไหนที่ได้มาง่ายๆ มักจะมีปัญหาตามมาเสมอ.

กัญณัฏฐ์ บุตรดี

Kanyanat25@gmail.com



ออฟไลน์ jigkooffroad

  • RB20 DE
    • กระทู้: 0
    • แรงม้า +0/-0
หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องเล่าสยองขวัญตามวิทยุที่ว่าอยู่ดี ๆ เราก็เห็นสิ่งของสามารถสั่นหรือเคลื่อนไหวได้ หรือแม้แต่ลอยขึ้นเองทั้งที่ไม่มีใครอยู่แถวนั้นเลย แล้วคุณผู้อ่านคอลัมน์วันพุธของผมล่ะครับ เคยไหมครับที่อยู่ในห้องคนเดียวหน้ากระจกแท้ ๆ แต่อยู่ ๆ ภาพในกระจกที่เห็นก็เป็นภาพของสิ่งของที่อยู่ด้านหลังลอยขึ้นเองกลางอากาศ แค่คิดก็ขวัญผวาแล้วใช่ไหมครับ

ปรากฏการณ์สิ่งของขยับเองได้อย่างนี้ บางคนก็เรียกเป็นภาษาเยอรมันว่า โพล  เทอร์ไกสท์ (Poltergeist) ซึ่งโพลเทอร์ไกสท์เป็นเรื่องที่ทั้งน่าสยองขวัญ ทั้งน่าติดตาม และทั้งน่าพิสูจน์มานานนับศตวรรษ บางคนก็อธิบายไปในเชิงเรื่องเหนือธรรม ชาติไปเลย บ้างก็ว่าเป็นการใช้พลังจิตเคลื่อนย้ายสิ่งของ บ้างก็เชื่อว่าเป็นการกระทำของผีสางเทวดาหรือเวทมนตร์ บ้างก็ถามกลับเลยว่าคนเห็นตาฝาดไปเองหรือเปล่า แต่  ทั้งนี้ก็ต้องยอมรับจริง ๆ ครับว่าแม้แต่นักวิทยาศาสตร์บางคนเองก็ยังอธิบายเรื่องนี้ได้ไม่ชัดเจน ในบรรดาคำอธิบายทางวิทยา ศาสตร์หลากหลายประเด็น ประเด็นที่ดูมีเหตุผลหน่อยก็ว่าเรื่องนี้เป็นปรากฏการณ์ของพลาสมา หรือไฟฟ้าสถิตที่ไหลวนอยู่ในอากาศ ซึ่งในความคิดเห็นของคนที่เชื่อในวิทยาศาสตร์อย่างผมคำอธิบายนี้ก็พอมีเหตุมีผลให้รับฟังได้อยู่ แต่หลายคนก็แย้งนะครับว่าคำอธิบายนี้มันก็ยังไม่ชัดเจนพออยู่ดี

ไม่ว่าใครจะอธิบายอย่างไร เชิงไสย ศาสตร์หรือเชิงวิทยาศาสตร์ แต่ตอนนี้คุณผู้อ่านอาจเริ่มตั้งคำถามแล้วว่าผมจะมาชวนคุยเรื่องสยองขวัญขนหัวลุกอย่างนี้ในวันพุธทำไม เดี๋ยวคืนนี้จะพากันนอนไม่หลับไปเสียหมด งั้นผมจะชวนคุณผู้อ่านกลับมาคุยกันเรื่องนวัตกรรมเทคโนโลยีแทนแล้วกันครับ แต่..เป็นเทคโนโลยีที่สามารถทำให้สิ่งของใด ๆ ลอยขึ้นได้ ใช่ครับ ผมไม่ได้ล้อเล่น ลอยขึ้นกลางอากาศเหมือนในหนังสตาร์วอร์ส หรือคล้าย ๆ กับปรากฏการณ์โพลเทอร์ไกสท์ที่ผมกล่าวในช่วงต้นไปนี่ล่ะครับ

เพราะวันนี้มีศาสตราจารย์จากมหา วิทยาลัยโตเกียวที่ประเทศญี่ปุ่น ชื่อว่า ศาสตราจารย์จุน เรคิโมโตะ (Jun Rekimoto) ได้เสนองานวิจัยเกี่ยวกับการทำให้วัตถุลอยบนอากาศได้ แต่แทนที่จะใช้พลังจิตบังคับหรือใช้เครื่องกลไกเหมือนเครื่องบิน เขาเลือกใช้คลื่นเสียงในการบังคับวัตถุให้ลอยขึ้นและเคลื่อนที่กลางอากาศได้ ซึ่งการเคลื่อนที่ในอากาศนี้ก็ไม่ใช่แค่การเคลื่อนที่ขึ้นลงซ้ายขวาในระนาบสองมิติเท่านั้นนะครับ แต่รวมถึงการเคลื่อนที่ในมิติที่สามคือเดินหน้าถอยหลังก็ได้ด้วย อาศัยเพียง    การปรับคลื่นความถี่ของเสียงให้สอดรับกับตำแหน่งที่ต้องการให้วัตถุนั้นลอยอยู่เท่านั้น

ตัวผมเองสมัยเรียนอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น เคยทำวิจัยที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และนวัตกรรมแห่งชาติของรัฐบาลญี่ปุ่น (Miraikan) หัวข้อเกี่ยวกับการใช้แสงเลเซอร์มาสร้างรูปภาพสามมิติที่ลอยอยู่   กลางอากาศ แต่พอได้มาเห็นคลิปวิดีโองานวิจัยของลอยได้ชิ้นใหม่นี้แล้ว ก็ต้องยอมรับเลยครับว่างานนี้น่าสนใจมากและไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ

งานวิจัยนี้ได้ทำการทดลองไว้กับวัตถุหลายอย่างครับ ตั้งแต่หัวน็อต เศษไม้ หยดน้ำ หรือแม้แต่ไฟ LED ดวงเล็ก โดยวัตถุทั้งหมดผู้ทดลองสามารถบังคับให้ลอยและเคลื่อนที่ไปมากลางอากาศได้ แต่อย่าง ไรก็ตามวัตถุทดลองทั้งหมด ณ ตอนนี้ยังคงเป็นวัตถุขนาดไม่ใหญ่นัก ซึ่งในบทสรุปของงานวิจัยได้เขียนไว้ว่าพวกเขากำลังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาเพื่อให้ระบบสามารถใช้คลื่นเสียงขยับวัตถุที่มีขนาดใหญ่ขึ้นได้ เพราะฉะนั้นต่อไปในอนาคตถ้าเราเห็นแจกันหรือโทรศัพท์ลอยขึ้นได้เองในห้องร้าง ก็อย่าเพิ่งรีบตกใจขนหัวลุกกันไปก่อนนะครับ เพราะจริง ๆ แล้วเราอาจมีคำอธิบาย เชิงวิทยาศาสตร์แบบใหม่สำหรับปรากฏ การณ์เช่นนี้แล้วก็เป็นได้.

ผศ.ดร.ชุติสันต์ เกิดวิบูลย์เวช

หัวหน้าภาควิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT)

วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยรังสิต

chutisant.k@rsu.ac.th